ญาติ..รับศพหนุ่มโรงงาน ถูกฆ่ามัดมือมัดเท้าทิ้งริมถนนเลียบมอเตอร์เวย์
จากกรณีหนุ่มโรงงานวัย 33 ปี ขี่รถ จยย.มาจอดจะขึ้นรถบัสไปทำงาน หายไปตั้งแต่วันเสาร์ พบอีกที่เย็นวันจันทร์ กลายเป็นศพถูกทิ้งมัดมือมัดเท้านำมาทิ้งไว้ข้างทางเลียบมอเตอร์เวย์ที่ฉะเชิงเทรา นำส่งชันสูตรที่นิติเวชฯ
วันนี้ (30 ม.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ นางสาว วรรณาพร หลักแหลม อายุ 33 ปี ภรรยาของนายธนาสันต์ เตอั้น ผู้เสียขีวิต และน้องสาว ได้เดินทางเข้ามาติดต่อขอรับร่างสามี เพื่อไปประกอบพิธีทางศาสนา วัดคลองปลัดเปียง อ.บางพลีจ.สมุทรปราการ เป็นเวลา 5 วัน ก่อนทำพิธีเผาศพในวันอาทิตย์ ที่ 4 มกราคม 2567 เวลา 16.30 น.
ทั้งนี้ ทางผู้สื่อข่าวได้พยายามเข้าไปสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ นางสาววรรณพร ภรรยาของผู้เสียชีวิต ก่อนเปิดเผยว่า คืนเกิดเหตุ (27ม.ค.67) ช่วงเวลาประมาณ 22.06 น. สามีตนออกไปทำงานตามปกติ ก่อนออกจากบ้านสามีปลุกตนบอกว่า กำลังจะออกจากบ้าน ตนก็ไม่ได้เอะใจอะไร เนื่องจากเป็นกิจวัตรประจำวันตามปกติของสามีอยู่แล้ว
.
ต่อมาช่วงเวลาประมาณ 02.44 น. ตนโทรศัพท์ไปหาสามี แต่ปรากฏว่าโทรไม่ติด โทรศัพท์ปิดเครื่อง ตนจึงทักข้อความไปใน LINE ถามว่า ทำไมปิดเครื่อง แต่สามีก็ยังไม่อ่าน จนถึงตอนเวลาประมาณ 02.58 น. สามีตอบกลับมาเป็นข้อความสองบรรทัด ข้อความบรรทัดแรกพิมพ์ว่า มีเรื่องจะบอก บรรทัดที่สองบอกว่า เรื่องสำคัญหนึ่งเรื่อง แล้วก็หายไปเกือบ 10 นาที จังหวะหายไป ตนทักข้อความย้ำไปว่า เกิดอะไรขึ้น มีอะไรเป็นอะไร พรไปทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า ?
.
จนถึงเวลาประมาณ 03.17 น. สามีส่งข้อความมาอีกครั้งว่า ไม่ต้องเสียใจนะ ไม่ต้องร้องไห้นะ ทำผู้หญิงท้อง ตนตกใจมาก ทักข้อความไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น พร้อมกับขอให้สามีรับสายอยากพูดคุยด้วย แต่ปรากฏว่าสามีไม่รับสาย แล้วก็ปิดเครื่องหนีหายไปเลย แต่ยังสามารถโต้ตอบข้อความกันทาง LINE ได้
.
ตอนจึงงงว่าสามีปิดเครื่องโทรศัพท์ แต่ทำไมยังมาโต้ตอบข้อความทาง LINE ได้ และต่อมาสามีพิมพ์มาว่า อ้วนอยากได้อะไร อ้วนบอกมาเลยนะ ตนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ลำพัง ตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาน้องชายของสามี ถามว่ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ น้องชายยังเอะใจว่าคนที่พิมพ์ใช่สามีของตนหรือ
.
ต่อมาตนตัดสินใจขี่รถจักรยานยนต์ออกไปตามหาสามีในละแวกใกล้บ้าน ขี่ไปที่ร้านขายของชำ ตามร้านอาหารที่คาดว่าสามีจะขี่รถผ่าน เมื่อออกไปตามหาก็ไม่พบสามี และตนก็ไม่กล้าพอที่จะขี่รถออกไปตามถนนใหญ่ ก็เลยวนกลับ แล้วก็ถ่ายรูปส่งไปในแชทของสามี พิมพ์บอกว่า ตนออกมาตามหา ได้แต่ตัดพ้อและท้อใจ
.
จากนั้นช่วงเวลาประมาณ 03.58 น. สามีตอบกลับมาอีกครั้งว่า ไม่ต้องตามหาหรอก ใหม่ (ชื่อสามี) มาต่างจังหวัด สามีตอบกลับมาว่าขอโทษนะ ขอบคุณเวลาที่อยู่ด้วยกัน บอกว่าไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ และนี่คือข้อความสุดท้าย ของสามีที่พิมพ์มาหาตน ตนทักข้อความส่วนตัวไปว่านี่ใครเป็นคนพิมพ์ ปรากฏว่าสามีอ่านแต่ไม่ตอบ ตนก็เอะใจแล้วว่า น่าจะไม่ใช่สามีพิมพ์แน่ ๆ
.
ยืนยันว่าก่อนหน้านี้ สามีตนไม่เคยไปมีปัญหา ทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ไม่มีปัญหาเรื่องชู้สาว ไม่มีปัญหาเรื่องหนี้สิน รวมทั้งไม่เคยทะเลาะกับตน เพื่อน ๆ เขาต่างรักใคร่ สามีเป็นคนตั้งใจทำงานหาเงิน ไม่เคยไปเกเรที่ไหน ประเด็นที่ตนตั้งข้อสงสัยเอาไว้ตอนนี้คือ “เรื่องฆ่าเพื่อชิงทรัพย์” เชื่อว่าสามีถูกอุ้มฆ่าในระหว่างที่กำลังขี่รถไปจอดที่จุดจอดมอไซค์บริเวณ…ซึ่งเป็นจุดจอดรถ เพื่อรอรถบัสของบริษัทที่สามีตนทำงาน โดยรถบัสคันดังกล่าว จะมารับที่จุดนั้น เพื่อพาไปยังโรงงานที่จังหวัดชลบุรี แต่ปรากฏว่าคืนวันเกิดเหตุ สามีไปไม่ถึงจุดจอด พนักงานและคนขับรถต่างยืนยันว่าสามีได้ขึ้นรถบัสแต่อย่างใด ส่วนประเด็นที่สามีพิมพ์แชทมาหาตน เชื่อว่าเป็นการพิมพ์เพื่อเบี่ยงเบนประเด็น เพื่อไม่ให้ตนออกไปตามหาสามี แต่ตน รู้จักสามีดีจึงมั่นใจว่าสามีไม่เคยไปมีปัญหาอะไรกับใครแน่นอน
.
เมื่อคืนหลังจากตนเห็นสภาพศพสามี ตนแทบล้มทั้งยืน คาดว่าเหตุที่คนร้ายมัดมือมัดเท้า อาจจะเป็นเพราะว่า สามีต่อสู้ขัดขืนหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบสภาพศพ พบว่ามีรอยถูกเจาะที่ศีรษะ แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นรอยจากกระสุนปืนหรือเป็นรอยจากการถูกหนอนเจาะ เนื่องจากสภาพศพเริ่มขึ้นอืด คาดเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่าสองวันแล้ว
.
จากการตรวจสอบทรัพย์สินที่หายไปในตัวสามี มีโทรศัพท์มือถือหายไป 1 เครื่อง มูลค่า 2 หมื่นบาท กระเป๋าสตางค์ 1 ใบ มีเงินอยู่ประมาณ 1000 บาท กระเป๋าสะพาย 1 ใบ และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ 1 คัน และจากการตรวจสอบบุ๊คแบงค์ของสามีพบว่า มียอดเงินออกเมื่อวันที่ 27 ม.ค.67 จำนวน 227 บาท และมียอดเงินค้างอยู่จำนวน 4000 กว่าบาท
.
สุดท้ายอยากฝากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนตามล่าคนร้ายมาดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เนื่องจากการก่อเหตุดังกล่าวโหดร้าย และอุกอาจเกินไป ตนทำใจไม่ได้เตรียมใจไม่ทัน