ผู้เสียหาย ร้อง ขอความช่วยเหลือ สายไหมต้องรอด หลังนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังใน จ.ชุมพร ทำการฉ้อโกงที่ดินมูลค่า 10 ล้านบาท
วันนี้ เวลา14:00 น. ที่ทำการเพจสายไหมต้องรอด มีผู้ร้องเรียนกรณีนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังในจังหวัดชุมพรทำการฉ้อโกงที่ดินมูลค่า 10 ล้านบาทโดยผู้เสียหายหวั่นเกรงอิทธิพลจึงเข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือต่อนายเอกภพ เหลืองประเสริฐเจ้าของเพจสายไหมต้องรอด
โดยนายบอย นามสมมุติอายุ 57 ปีได้หอบหลักฐานมาร้องเรียน ต่อสื่อมวลชนว่าเมื่อประมาณปีพ.ศ. 2565 ตัวเองได้ประกาศขายที่ดินแห่งหนึ่งในมูลค่า 10 ล้านบาท จากนั้นได้มีนักการเมืองท้องถิ่นคนดังเข้ามาติดต่อขอซื้อที่ดินแต่มีเงื่อนไขว่าจะจ่ายส่วนต่างเป็นบ้านติดทะเลในมูลค่า 2,000,000 กว่าบาทและจะจ่ายเงินสดแยกอีกเจ็ดล้านบาท โดยตัวเองและนักการเมืองท้องถิ่นคนดังกล่าวก็ได้ทำสัญญาซื้อขายและมอบกรรมสิทธิ์การใช้ประโยชน์ที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่กันแล้วแต่ยังมีการโอนตัวโฉนด
สำหรับฝั่งของตัวเองนั้นก็ได้เข้าทำประโยชน์ในบ้านหลังดังกล่าวโดยมีการเข้ารีโนเวทบ้านโดยใช้เงินไปกว่าหนึ่งล้านบาทและการเตรียมความพร้อมเข้าอยู่
ส่วนฝั่งของนักการเมืองท้องถิ่นก็ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินมูลค่า 10 ล้านบาทของตัวเองไปแล้วโดยนำไปปรับปรุงเป็นที่จอดรถและเก็บเงินภายในงานประจำประจำปี ของจังหวัด
แต่หลังจากนั้นนักการเมืองท้องถิ่นก็ได้บ่ายเบี่ยงที่จะโอนตัวบ้านมาเป็นชื่อของตัวเองและผลการชำระเงินค่าที่ดินที่เหลืออยู่อีก 7 ล้านบาทออกไปเรื่อยๆ เส้นทางตัวเองได้ให้โอกาสในการชำระค่าที่ดินกับทางฝั่งของนักการเมืองท้องถิ่นให้คงค้างชำระมานานกว่า 1 ปี โดยทางฝั่งนักการเมืองอ้างว่ายัง ติดปัญหาเรื่องกระแสเงินสดจึงไม่สามารถชำระได้ส่วนบ้านพักริมทะเลนั้นทางฝั่งนักการเมืองอ้างว่าตัวบ้านและที่ดินยังติดจำนองอยู่กับทางธนาคารจึงไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้เป็นของตัวเองได้
และหลังจากนั้นทางฝั่งนักการเมืองก็จะบอกยกเลิกสัญญาการซื้อที่ดินมูลค่า 10 ล้านบาทและจะขอเอาตัวบ้านมูลค่า 2 ล้านกว่าบาทคืน
จากนั้นวันที่ 7-8 กันยายน 2566 นักการเมืองท้องถิ่นได้มีการบุกรุกเข้ามาเปิดประตูบ้านและเปลี่ยนกุญแจบ้านโดยสัญญาจากกล้องวงจรปิดได้เตือนเข้ามาที่โทรศัพท์ของตัวเอง ซึ่งอาศัยอยู่ที่กรุงเทพ และตัวเองได้มีการโทรห้ามปรามกับทางนักการเมืองท้องถิ่นคนนั้นแต่ทางนักการเมืองท้องถิ่นไม่ฟัง จากนั้นนักการเมืองคนดังกล่าวได้เข้าไปสับสวิตซ์ไฟฟ้าของกล้องวงจรปิดที่บ้านหลังดังกล่าวออกจนหมดแต่ว่าทางนักการเมืองคนดังกล่าวไม่ทราบว่าตัวเองได้วางระบบกล้องวงจรปิดภายในบ้านเป็นสองระบบโดยระบบที่สองนั้นได้ไปฝากเซิร์ฟเวอร์ไว้กับเพื่อนบ้านใกล้เคียงจึงทำให้กล้องบางตัวภายในบ้านยังจับพฤติกรรมการบุกรุกต่างจนถึงวันที่ 10 กันยายน นักการเมืองท้องถิ่นพร้อมกับลูกสาวและครอบครัว ที่เข้ามาอยู่ในบ้านตัวเองมีการจัดงานวันเกิดตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงช่วงเวลากลางคืนไว้ได้ทั้งหมดโดยมีตำรวจไปร่วมงานด้วย และหลังจากนั้ยยังมีการทะยอยขนของซึ่งเป็นของตัวเองออกจากบ้านไป และนักการเมืองท้องถิ่นคนนี้ได้มีการไปแจ้งความกับตำรวจว่าบ้านหลังดังกล่าวขายต่อไปยังบุคคลที่ 3 แล้ว
ซึ่งหลักฐานทุกอย่างทั้งเอกสารและภาพวงจรปิดยื่นให้กับตำรวจหมดแล้วโดยพนักงานสอบสวนคนที่หนึ่งบอกว่าเรื่องนี้เข้าฐานความผิด ลักทรัพย์ บุกรุก ฉ้อโกง ซึ่งตัวเองก็ได้พาร้อยเวรเข้าไปชี้จุดเกิดเหตุโดยนักการเมืองท้องถิ่นคนนี้ได้โทรมาข่มขู่ว่าจะแจ้งความจับตัวเอง
และหลังจากนั้นได้มีการเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนจากตำรวจยศใหญ่ในจังหวัดชุดพรและได้บอกว่าคดีของตัวเองนั้นไม่เข้าข่ายคดีอาญาเป็นแค่คดีแพ่งและได้มีพนักงานสอบสวนคนใหม่โทรมาขอเครียกับตัวเองให้จบไปแต่ตัวเองไม่ยอม จนเรื่องผ่านมาถึง 8 เดือนแล้วตัวเองยังไม่ได้ความคืบหน้าอะไร
หลังจากนั้นวันที่ 14 สิงหาคม 2566 ตัวเองได้ไปติดป้ายขายที่ดินแปลงมูลค่า 10 ล้านใหม่อีกรอบ ทางด้านนักการเมืองท้องถิ่นได้ส่งคนมาถ่ายรูปแล้วฟ้องตัวเองว่าผิดสัญญา เรียกค่าเสียหาย 12 ล้าน แต่ตนเองชนะคดี
แต่ คดีที่ตัวเองแจ้งความนักการเมืองอิทธิพลไปนั้นไม่คืบหน้าและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากตำรวจ และทนายที่ตัวเองจ้างไปก็ยังไปว่าความแทนฝั่งนักการเมือง และขึ้นศาลฟ้องตัวเองด้วย
