ร้อง ‘ปวีณา’ สงสัยสาเหตุเสียชีวิตภรรยา อายุ 26 ปี หลังเดินทางไปทำงานประเทศมาเลเซียกับเพื่อนสาวก่อนดับปริศนา
วันที่ 1 พ.ค.67 เวลา 13.00 น. สามีและแม่เดินทางจากจ.นครพนม ร้องทุกข์ “ปวีณา” สงสัยการเสียชีวิตของภรรยา อายุ 26 ปี หลังภรรยาเดินทางไปทำงานประเทศมาเลเซียกับเพื่อนแล้วเสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 เม.ย.67 โดยสามีไม่เคยรู้ว่าภรรยาไปประเทศมาเลเซีย จนวันที่ 22 เม.ย. 67 แม่โทรไปที่มือือลูกมีผู้หญิงรับสายจึงทราบว่าเป็นเพื่อนลูก บอกว่าลูกสาวเสียชีวิตแล้ว เพื่อนแจ้งเสียชีวิตจากการช็อกหัวใจล้มเหลวให้สามีเดินทางไปประเทศมาเลเซียเพื่อทำการเผา แต่สามีไม่มีเงินค่าส่งศพกลับและยังไม่ปักใจเชื่อการเสียชีวิต ขณะนี้ศพอยู่ที่โรงพยาบาลมะละกา ประเทศมาเลเซีย ต้องการนำศพกลับประเทศไทยเพื่อชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงจนกว่าจะได้รับความเป็นธรรมเนื่องจากการเสียชีวิตของภรรยามีพิรุธหลายอย่าง “ปวีณา” ประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อนำส่งศพผู้เสียชีวิตกลับมาไทยโดยต้องมีค่าใช้จ่ายส่งศพประมาณ 25,000 บาท สำหรับรถที่จะต้องรับส่งศพกลับภูมิลำเนาและฌาปนกิจ ทางมูลนิธิปวีณาฯจะช่วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด และมูลนิธิปวีณาฯส่งชันสูตรที่สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ หาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง โดยเพื่อนลูกสาวเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าแม่ให้พูดโทรศัพท์กับสามีผู้เสียชีวิตบอกว่าจะให้สามีเดินทางไปเผาศพที่ประเทศมาเลเซียโดยจะออกค่าใช้จ่ายให้กับสามี แต่แม่กับสามีของลูกยังไม่ยอมให้เผา เพราะการเสียชีวิตของลูกสาวมีพิรุธ ทำไมจึงจะรีบเร่งรัดเผาศพไม่ยอมส่งรูปศพมาให้และมีเงื่อนงำ ครอบครัวไม่เคยรู้เลยว่าลูกสาวเดินทางไปที่มาเลเซีย จึงติดต่อมาขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ ประสานกระทรวงการต่างประเทศส่งศพลูกสาวกลับประเทศไทย และขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ส่งศพลูกสาวชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง จนกว่าลูกสาวจะได้รับความเป็นธรรม
หลังรับเรื่อง นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี กล่าว ขอแสดงความเสียใจ เป็นที่น่าเป็นห่วงระยะหลังนี้มีหญิงไทยเสียชีวิตในต่างประเทศต่อเนื่องหลายคน มูลนิธิปวีณาฯรับเรื่องหญิงไทยเสียชีวิตตั้งแต่ต้นปี 2567 เฉพาะประเทศมาเลเซีย 4 ราย ประเทศบาห์เรน 1 ราย (รอส่งศพกลับประเทศไทย) ที่มีลักษณะมีเงื่อนงำ มีพิรุธ จึงขอเตือนหญิงไทยที่จะไปต่างประเทศให้พิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน อยากให้หญิงไทยที่อยู่ประเทศมาเลเซียช่วยกันดูแลคนไทยด้วยกันให้ได้รับความปลอดภัย มูลนิธิปวีณาฯได้ประสานกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนำส่งศพ น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 26 ปี ผู้เสียชีวิตกลับประเทศไทย และนางปวีณา จะประสานสถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ ส่งศพ น.ส.บี ไปชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงในเร็วนี้ โดยจะติดตามเคสอย่างใกล้ชิดต่อไป
นายเล็ก (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี สามี กล่าวว่า ตนทำงานช่างอาคารที่กรุงเทพฯ จึงส่งภรรยาอยู่ จ.นครพนม ได้อยู่กินกับภรรยา น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 26 ปี มีลูกชายด้วยกัน 1 คนอายุ 5 ขวบ จดทะเบียนสมรสกันอยู่กินกันที่ จ.นครพนม ภรรยามีอาชีพทำอาหารส่งให้กับเด็กอนุบาลโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.นครพนม กลางเดือนมี.ค.67 ภรรยาเห็นเพื่อนไปทำงานต่างประเทศจึงสนใจและอยากไปทำงานต่างประเทศบ้าง จึงมาบอกกับตนว่าจะเดินทางไปเรียนภาษาและพักอยู่กับเพื่อนที่ จ.ชลบุรี ระหว่างนั้นตนกับภรรยาได้มีการติดต่อพูดคุยกันตลอด และตนได้พูดคุยกับภรรยาครั้งสุดท้ายวันที่ 18 เม.ย.67 โดยภรรยาบอกว่ารองานอยู่ หลังจากนั้นไม่ได้คุยกัน เพราะเห็นว่าภรรยามีการโทรศัพท์คุยกับลูกชายอยู่
กระทั่งวันที่ 22 เม.ย.67 ตนทราบเรื่องจาก นางบูม (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นแม่ยาย โทรศัพท์มาบอกว่า ภรรยาตนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 67 ที่ประเทศมาเลเซีย ตนตกใจมากว่าภรรยาไปเสียชีวิตที่ประเทศมาเลเซียได้อย่างไร เพราะที่ผ่านมาตนคุยกับภรรยาทราบว่าอยู่ จ.ชลบุรี จึงได้ไปเปิดดูโทรศัพท์ของลูกชายพบว่าภรรยาพูดคุยกับลูกชายวันที่ 19 เม.ย.67 ครั้งสุดท้าย ตนจึงได้ติดต่อไปสอบถามกับเพื่อนของภรรยาถึงสาเหตุการเสียชีวิตของภรรยา เพื่อก็บอกว่าภรรยาเสียชีวิตจากการช็อคหัวใจล้มเหลวและไม่ยอมให้ข้อมูลใด และเร่งรัดให้ตนเดินทางไปที่ประเทศมาเลเซียเพื่อทำการเผาศพภรรยาโดยเร็ว แต่ตนไม่ยอมให้เผาที่มาเลเซียขอให้ส่งศพมาชันสูตรการเสียชีวิตที่ประเทศไทย เนื่องจากการเสียชีวิตของภรรยามีพิรุธหลายอย่าง
ต่อมาวันที่ 24 เม.ย.67 ตนได้ติดต่อสอบถามกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม) เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบว่ามีรายชื่อของภรรยาตนเดินทางไปที่ประเทศมาเลเซียหรือไม่ จากการตรวจสอบพบว่าภรรยาตนมีการเดินทางเข้าประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 31 มี.ค.67 ซึ่งที่ผ่านมาตนไม่เคยรู้เลยว่าภรรยาเดินทางไป ตนจึงติดต่อมาขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ เพราะสงสัยการเสียชีวิตของภรรยา และต้องการนำศพกลับประเทศไทย
ด้านนางน้อย (นามสมมุติ) แม่ยาย กล่าวว่า ปกติลูกสาวจะติดต่อมาหาแม่อยู่ตลอด กระทั่งวันที่ 22 เม.ย.67 ตนเห็นว่าลูกสาวไม่ได้ติดต่อมาเป็นเวลา 3 วันแล้ว จึงได้โทรศัพท์ไปหาลูกสาว แต่ปลายสายเป็นเพื่อนของลูกสาวรับสายและบอกว่า “ให้แม่ทำใจดีๆ” จากนั้นเพื่อนลูกก็ส่งโทรศัพท์ให้ผู้หญิงอีกคนพูดสาย ซึ่งแม่ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เขาบอกว่า ลูกสาวแม่เสียชีวิตแล้วตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย.67 สาเหตุจากการช็อคหัวใจล้มเหลว ขณะนี้ศพอยู่ที่โรงพยาบาลมาละกา ประเทศมาเลเซีย แม่จึงขอให้ส่งที่อยู่และรูปภาพศพของลูกสาวมาให้ดู แต่เพื่อนลูกกับหญิงสาวคนดังกล่าวก็ไม่ยอมส่งให้ และเร่งรัดให้แม่กับสามีลูกสาวเดินรีบทางไปที่มาเลเซียเพื่อทำพิธีเผาศพที่นั่น