สาวร้องสายไหมสายไหมต้องรอด ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฉกบัตรเครดิตของชาวจีนตอนหลับไปใช้รูดซื้อทอง
โดยหญิงสาวคนนี้กล่าวว่าเป็นหนังคนละม้วน เธออ้างว่า คนจีนเป็นคนออกอุบายให้เธอไปรูดเงินสดที่ร้านทองร้านนี้เอง พอได้เงินเธอก็เดินนำเงินมาให้คนจีนทุกบาททุกสตางค์ จากนั้นคนจีนก็พยายามจะข่มขืนเธอ แต่เธอไม่ยอม เธอจึงได้มาขอความช่วยเหลือจากวินจักรยานยนต์ วินจึงพาเทอมาส่งขึ้นรถแท๊กซี่กลับบ้าน
หญิงสาวคนนี้เล่าว่า เธอรู้จักชาวจีนคนนี้จากแอพหาคู่แอพหนึ่งตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม ชื่อว่าอาฉี อายุ 33 ปี ก่อนที่จะมาคุยกันต่อในวีแชท ลักษณะคุยเป็นเพื่อน ไม่ใช่เชิงชู้สาว โดยเขาอ้างว่า ประกอบธุรกิจเปิดร้านปิ้งย่างที่พัทยา พูดไทยได้นิดหน่อย ส่วนใหญ่สื่อสารผ่านแอพแปลภาษามากกว่า
จนถึงวันที่ 13 มีนาคม อาฉีได้แชทมาบอกตอนเที่ยงคืนว่า เขาเข้ามาส่งเพื่อนที่เป็นเชฟร้านของอาฉีขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองกลับจีน ระหว่างนั้นตนจึงบอกว่าจะจองโรงแรมให้พัก แต่เขาปฏิเสธและบอกว่าแค่มาส่งแล้วกลับ ก่อนจะชักชวนให้เจอกันแถววิภาวดี 33 ตนก็ไปเลยไปหาตอนตีสี่กว่า ก่อนที่จะขึ้นรถไปส่งเพื่อนด้วยกัน จากนั้นอาฉีก็ชักชวนตนให้ไปดูร้านปิ้งย่างของเขาและเที่ยวพัทยา ตนก็เลยไปด้วย เพราะคิดแค่ว่าเขาชวนไปดูร้าน ไม่น่าจะมีอะไร โดยออกจาก กทม. ตอนหกโมงเช้า
จากนั้นจึงมาถึงพัทยาตอน 10 โมงเช้า ซึ่งระหว่างทางก็พูดคุยกันตามปกติ ไม่ได้มีท่าทีอันตรายใด ๆ เมื่อมาถึงก็พาไปร้านปิ้งย่างซึ่งอยู่แถวพัทยาใต้ เป็นอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น แต่ร้านปิดเพราะพ่อครัวเพิ่งกลับจีนไป ก่อนที่อาฉีจะพาตนขึ้นห้องพักแล้วพักผ่อนตามอัธยาศัย
ประมาณ 11 โมงเช้า อาฉีบอกกับตนว่าไม่มีเงินไทยติดตัว จึงขอให้ตนเอาบัตรเครดิตไปรูดรับเงินสดที่ร้านทอง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากร้านปิ้งย่าง พร้อมกำชับว่าให้รูดมา 30,000 บาท โดยให้รูด 3 ครั้ง ครั้งละ 10,000 บาท และให้เซ็นชื่อตนเป็นภาษาอังกฤษ ตนจึงไม่ได้คิดอะไร เพราะเป็นบัตรของเขาเอง ก็เลยไปกดให้ที่ร้าน เดินไป 5 นาที โดยที่ร้านได้ตรวจบัตรประชาชนตนแล้ว แต่ก็ยินยอมให้รูดเงิน ก่อนที่ตนจะได้เงินสดกลับมา 30,000 บาท แล้วตนก็ไปแวะซื้อของกินนิดหน่อย ก่อนจะกลับมาที่ร้านของอาฉีตอนเกือบเที่ยง
จากนั้น เมื่อมาถึง ตนก็มอบบัตรเครดิตและเงินสดให้อาฉี ก็นั่งคุยกันสักพัก อยู่ดี ๆ อาฉีพยายามจะผลักตนขึ้นเตียงและจะข่มขืนตน ตนก็ขัดขืนปฏิเสธพร้อมผลักออกกึ่งทีเล่นทีจริง ซึ่งอาฉีพยายามบอกแค่ว่า “นิดหน่อยนะ ๆ” โดยตนไม่กล้าทำรุนแรง เพราะอยู่ในที่ของฝ่ายชาย กลัวว่าจะได้รับอันตราย แต่ฝั่งอาฉีพยายามจะง้างมือชกต่อยข่มขู่จะทำร้ายร่างกายและจับเนื้อตัวร่างกายเรื่อย
สักพักผ่านไปกว่าชั่วโมง ตนเลยจะขอกลับ ฝ่ายชายก็ออกไปสูบบุหรี่ ตนจึงเล่นมือถือที่เตียง ก่อนที่อยู่ดี ๆ ผ่านไป 10-15 นาที เขาจะเดินเข้ามากระชากมือถือตนพร้อมมือจะชกอีกรอบ แต่ยังไม่ทันทำอะไร เพราะคิดว่าตนจะเรียกรถกลับไปก่อนเดินลงบันไดออกไป ตนนั่งตั้งสติประมาณ 5 นาที ก็พยายามเดินตามเอามือถือคืนอย่างระมัดระวัง เพราะอยู่ในที่ของเขา กลัวจะถูกดักทำร้าย แต่เดินออกมาหน้าร้านก็ไม่เจออาฉี และร้านรอบข้างก็ปิดไม่มีใครให้สอบถาม ตอนนั้นประมาณบ่ายสามแล้ว ตนเลยเดินตามหาเรื่อย ๆ จนเจอวินมอเตอร์ไซต์ จึงเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนช่วยให้ส่งที่ห้างเซ็นทรัลพัทยา เมื่อไปถึงก็รีบแจ้งศูนย์ค่ายมือถือเพื่ออายัดมือถือว่าสูญหายและขอซิมใหม่ แล้วค่อยไปขึ้น taxi กลับ กทม. ด้วยที่ติดตัวไปด้วยพันกว่าบาทตอนสี่โมงเย็นครึ่ง
หลังเกิดเหตุ ตนก็ไม่สามารถที่จะติดต่ออาฉีได้อีกเลย เพราะไม่สามารถเข้า WeChat ได้ ซึ่งตนยังคงรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาอาฉีเองก็ดูจะเป็นคนดี เคยพูดเตือนถึงพฤติกรรมคนจีนที่นิสัยไม่ดีในประเทศบ่อยครั้ง จนตนเชื่อมั่นว่าเขาน่าจะเป็นคนดี แต่ความจริงมาปรากฏตอนที่เขาจะพยายามข่มขืนตน ที่ผ่านมาตนไม่กล้าไปแจ้งความ ทั้งที่ สภ.บางละมุง และ สน.ท้องที่บ้านของตน เนื่องจากตนไม่มีพยานหลักฐานที่เพียงพอและเกรงว่าพนักงานสอบสวนจะไม่รับแจ้งความ อีกทั้งตนไม่กล้ากลับไปแจ้งความที่พัทยาอีกแล้ว เพราะกลัวจะถูกทำร้ายหรือได้รับอันตราย จนกระทั่งมาปรากฏเห็นในสื่อโซเชียลเป็นข่าวว่า ตนไปขโมยบัตรเครดิตของคนจีนคนนี้ไปรูดซื้อทอง ซึ่งไม่เป็นความจริง
วันนี้ตนจึงอยากมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมกับทางเพจสายไหมต้องรอดว่า ตนคือผู้ถูกกระทำ ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด ต้องการให้ความจริงปรากฏและยืนยันว่าที่พูดมาทั้งหมดเป็นความจริง
ด้านนายเอกภพระบุว่า หญิงคนนี้มาแสดงความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งตนกำชับให้น้องพลอยพูดความจริง เพราะจะมีหลักฐานอื่น ๆ เช่น ภาพวงจรปิดมายืนยันคำพูด ตนมองว่างานนี้ไม่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งต้องถูกดำเนินคดี แต่เพื่อความแน่ชัดว่าน้องพลอยผู้ถูกต้องหรือไม่ หลังจากนี้ตนจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่ร้านปิ้งย่างดังกล่าวที่พัทยาและจะประสานไปพูดคุยกับตำรวจ สภ.บางละมุง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและเชิญคนจีนคนนี้มาให้การยืนยันไปเลยว่าใครพูดจริงพูดเท็จ
ถึงแม้ว่าเคสนี้จะต้องมองทั้งสองมุมสองด้าน แต่ตนก็ตั้งข้อสังเกตว่า ประเด็นที่กล่าวหาหญิงคนนี้นั้นดูมีพิรุธเพราะมองว่าหากประสงค์จะขโมยบัตรเครดิตจริงๆแล้วหญิงคนนี้จะกลับไปเอาบัตรเครดิตไปคืนทำไม